วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

บันทึกการเดินทางอันไร้สาระแห่งข้า...


ลานน้ำพุ สยามพารากอน  กรุงเทพมหานคร
                                                วันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
                Question
                                วันนี้รีบกุลีกุจอตื่นเช้า...อาจจะไม่ได้เรียกว่าเช้าก็เป็นได้ในเมื่อคำว่าเช้าของผมในวันหยุดวันนี้คือ ๓ โมงเช้า อันที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะตื่นสายโด่งขนาดนี้ในวันที่จะไปงานหนังสือที่เริ่มสิบโมงหรอกนะ เพราะงานแบบนี้เวลาไปสาย ผมก็จะอดได้ของที่หมายตาไว้อย่างแน่นอนพันเปอร์เซ็น แต่ผมจะไปทำอะไรได้ในเมื่อนาฬิกาปลุกไม่ทำงาน จึงได้แต่รีบวิ่งมาอาบน้ำอาบท่าแล้วรีบไปต่อนั่นล่ะ พอผมเดินออกจากบ้านมาก็ขึ้นโหนรถสองแถวจากหน้าปากซอยบ้านจนไปลงป้ายบางขุนนนท์แล้วจ่ายค่าโดยสาร ๕ บาททั้งที่เขาเขียนอยู่แท้ๆว่า ๕.๕๐ แต่เราก็จ่ายเท่านั้นแหละ...พอลงจากรถสักพักรถเมล์ที่รออยู่ก็มาถึง รถที่ผมรออยู่นั้นก็คือรถโดยสารปรับอากาศสาย 79 จุดหมายที่ผมจะไปลงนั้นก็คือป้ายสยามพารากอนนั่นเอง ถึงวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่บางคนได้หยุดทำงานแต่ก็ไม่มากอย่างวันอาทิตย์ ผู้คนบนรถอัดแน่นที่นั่งไม่มีเหลือ แถมด้วยเวลารถจอดรับผู้โดยสารแต่ละป้ายก็เพิ่มจำนวนคนมากขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อที่นั่งก็ไม่มี คนก็เยอะ ทางก็ไกล ผมก็เลยตัดสินใจอย่างแน่วแน่!...นั่งมันกับพื้นซะเลย พอนั่งไปนานๆ มีคนลุกลงจากรถกระเป๋ารถเลยกันที่ไว้ให้เลย สงสัยเขาคงจะรำคานซะมากกว่าที่จะสงสาร... นั่งรถมาสักพักหนึ่งก็ถึงจุดหมายของเราซักที ผมก็เลยโทรหาเพื่อนที่นัดไว้ว่ามีใครจะมาบ้าง สุดท้ายแล้วก็มีคนมางานนี้กับผมแค่คนเดียวนั่นแหละ เอ...ว่าแต่ไอ้ลานน้ำพุที่ว่ามันอยู่ตรงไหนกันล่ะเนี่ย! ตัวผมก็เคยมาเฉียดสยามพารากอนนี่แค่ ๒-๓ ครั้งเอง จึงไม่รู้ว่าสถานที่จัดงานของเรานั้นมันอยู่ตรงไหนกันแน่ ก็เลยเดินวนไปวนมาซะเลย ยังไงๆ เราก็ไม่รีบอยู่แล้วในเมื่องานกรรมการคอสเพลของเราเริ่มบ่าย ๓ แต่ตอนนี้แค่เที่ยงนิดๆ เอง...อันที่จริงน่าจะเรียกว่า หลง ซะมากกว่าเดินเล่น ผมก็เลยเดินไปเรื่อยๆๆ ก่อนจะอับจนปัญญาเมื่อเดินผ่านหน้าร้านแม็คโดนัลไป ๒ รอบได้ ก็เลยเดินตรงไปอย่างแน่วแน่! เพื่อถามคุณพี่ยาม...อ๊า ชั้น G งั้นรึ ไอ้เราก็เดินวนอยู่ตั้งนาน...ก็คนมันไม่เคยมาใครจะไปรู้ล่ะว่า ลานน้ำพุ ที่น่าจะเป็นลานกลางแจ้ง จะต้องขึ้นไปอีกชั้น! หลังจากขอบคุณพี่ยามซ้ำไปซ้ำมาประมาณ ๑๐ กว่ารอบพร้อมประณามตัวเองในใจถึงความไร้สมอง ก็เดินไปยังจุดหมายปลายทางของเรา...ลานน้ำพุสถานที่จัดงาน ๑๐ ปีแจ่มใส ที่ผมรอคอย! ในงานมีเหล่านักอ่านมากมาย ขอย้ำว่ามากจริงๆ! เพราะกว่าผมจะเบียดเข้าไปในงานได้นั้นก็เรียกได้ว่าแทบตายกันเลย งานนี้ไม่ใช่งานใหญ่โต แต่ผู้คนก็หนาแน่นอยู่ตลอดเลยทีเดียว ตัวผมที่บอกว่าตั้งใจจะไปซื้อหนังสือนั้นไม่ว่าจะพยายามเบียดเข้าไปแค่ไหน แต่ก็ไม่ไหวจริงๆครับ หนังสือใหม่ที่อยากได้พอไปถึงแล้วก็เห็นคนเบียดยืนยื้อแย่งกันอยู่แล้วก็คิดได้เลยว่าไม่ไหวแน่ ก็เลยหนีเข้าไปเดินในพารากอนก่อนสักพักพอใกล้ๆจะ ๓ โมงก็มุ่งหน้าเข้างานอีกรอบ ผู้คนก็ยังแน่นอยู่ครับ แล้วก็มีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นครับ หนังสือที่ผมอยากได้มัน...หมดเกลี้ยง หมดแบบไม่มีเติมเลยครับ ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก หนังสืองานนี้ลด ๒๐% เชียวนะ! แต่ก็ยังมีเรื่องที่พอจะปลอบโยนจิตใจน้อยๆของผมได้ก็คือ กิจกรรมการประกวดคอสเพล!! มีผู้เข้าประกวดทั้งหมด ๑๕ คู่ด้วยกัน การให้คะแนนรอบแรกก็เป็นแบบเขียนใส่กระดาษโหวต แต่เอ็นเธอร์ซะอย่างจะมีหรือที่เรียกว่าธรรมดา การให้คะแนนรอบ ๒ กรรมการจะได้ขวดน้ำเลือดที่เฮียเว็บกล่าวไว้ว่ามันผ่านการเคี่ยวจากเหล่าทวยเทพมานานนับพันปี...คำพูดของเฮียเว็บช่างไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย พอถึงเวลาให้คะแนนจะมีขวดแก้วที่มีน้ำแข็งแห้งอยู่ข้างในซึ่งเมื่อเวลาที่กรรมการเทน้ำแดงที่สีน่าขยะแขยงนี้ลงไปก็ทำให้มีฟองปุดๆ น่าทานยิ่งนัก...ผู้เข้าประกวดที่ชนะเลิศแต่งเป็น แดน กับ ชิโรซายะ จากเรื่อง GOD ผู้เข้าประกวดสองคนนี้คือพี่ไนซ์กับพี่มิลค์ ทั้งคู่แต่งได้ดูดีสมจริงยิ่งกว่าหลุดมาจากในนิยายเสียอีก คะแนนจึงชนะได้แบบขาดลอยเลยทีเดียว...กิจกรรมคอสเพลจบลงประมาณ ๖ โมงเย็นผมเลยถือโอกาสแวะขอลายเซ็นพี่ๆนักเขียนผู้น่ารักก่อนกลับบ้านเสียเลย สรุปกว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบๆทุ่ม แถมยังต้องยืนโหนรถเมล์ตลอดทางอีกด้วย...                                                                     

นี่คืองานส่งอาจารย์วิชาภาษาไทย...มันจึงยาวติดเป็นเเถบๆๆๆ แต่ก็ไร้ซึ่งสาระเช่นเดิมเหมาะกับเป็นอะไรที่ผมนั้นแต่งขึ้น = ="
5555+